วันพฤหัสบดีที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ประชาไท ไนท์ แจ็คผู้ฆ่ายักษ์

ครั้นจะไม่พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดต่องานนี้ก็คงต้องเรียกว่าตัวเองว่าตาขาว แต่ด้วยความ ขี้เกียจ+ธุระก็ไม่ใช่ ก็ทำท่าว่าจะไม่เขียนแล้ว แต่เมื่อเห็น internet celebrity หลายๆท่านว่างานนี้มันช่างสนุกสนาน ผมก็ขอทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะผู้ประสบตรงกับงานนี้หน่อยล่ะกัน


- หวังจะได้ฟังไอเดียดีๆตามคอนเซ็ปของงาน

ยักษ์เขียวตาเดียว" กำลังป่วนโลกไซเบอร์ ว่าหากจะป้องกันและยุติเหล่าอสูรร้ายที่จะเข้ามาปิดกั้นเสรีภาพ มีวิธีการสร้างสรรค์แบบไหนบ้าง?

ฟังไป 6 การนำเสนอ ปรากฎว่างานนี้ไอเดียที่ผมได้ ... ไม่มี แต่กลับทำให้ผมสงสัยในความต้องการของคนกลุ่มนี้เสียอีกว่าที่เคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ เพื่อความต้องการเสพสิ่งที่โดนเซ็นเซอร์ของตัวเอง หรือ เพื่อสังคมไทยมวลรวม (ตอนแรกอิมเมจในหัวของผม คนเหล่านี้คือผู้ที่พัฒนาแล้วทางความคิดและเสียสละเพื่อสังคม แต่ตอนนี้กลายเป็นเครื่องหมาย '?' )

- สิ่งที่ผมได้รับจาก 6 การนำเสนอที่ได้ฟังคือ

1. หนังของกู ใครอย่าแตะ อย่ามาแบน อย่ามาจัดเรท ทุกคนต้องมีสิทธิได้ดู
2. เพลงของกู ใครอย่าแตะ อย่ามาแบน อย่ามาจัดเรท ทุกคนต้องมีสิทธิได้ฟัง
ป้าย "parental advisory explicit content" is BAD. อย่ามาจัดเรทให้เพลงกู แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรป้ายนี้มันก็เท่ห์ดี
สองอันนี้ อยากแสดงความคิดเห็นส่วนตัวว่า ถ้าต้องการจะแก้ปัญหา อยากให้ "be practical" หน่อย คิดให้เหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนรันประเทศ ประเทศที่ต้องการพัฒนาไปข้างหน้า (ไม่ใช่ประเทศที่ทุกคนเสพกัญชาแล้วบอกว่าแฮ๊ปปี้ดี) แล้วก็เสนอทางออกหน่อย (แต่ถ้าแค่ต้องการจะ ぺちゃくちゃ ちゃべる ก็โอเค)
3. Dimension/มองสองด้าน => อันนี้เก่าเกินไปมากๆสำหรับผมแล้ว
4. Censorship problem and Solution => ดีที่สุดใน 6 อันที่ได้ฟัง แต่ก็ยังไม่มีไอเดียฆ่ายักษ์อะไรใหม่ๆ
5. Introduction to Censorship and the States => ก็โอเค เหมือนเทียบกับการนำเสนอ 1-3 แต่ก็ยังไม่มีไอเดียอะไรใหม่ๆอีกอยู่ดี
6. Make fun of ICT and how to escape its block. => เน้นมันส์เข้าว่า จบท้ายด้วยการเปิดหนังโป๊ฉลองอิสระภาพ => .... นี่ผมมาผิดงานนี่หว่า ไอดงไอเดียอะไร who cares งานนี้เค้าเน้นประชดด่าไอซีทีมันส์ๆฮาๆ

แต่ผมไม่ฮาด้วยหรอกครับ ผมพาภรรยามางานนี้ด้วยและภรรยาผมจิตใจไม่หยาบกระด้างพอที่จะดูหนังโป๊ได้ (ถ้าทุกคนในสังคมมีจิตใจหยาบขนาดที่เห็นว่าการนำหนังโป๊มาเปิดในที่สาธารณแล้วสนุก ผมว่าสังคมเราไม่เจริญแล้วล่ะครับ) ทั้งๆที่งานยุ่งแต่ก็หาเวลามางานนี้ให้จนได้เพราะนึกว่าเราจะได้มาพบเห็นเจอะเจอกับคนรุ่นใหม่ ที่มีพร้อมทั้งไอเดียและความสามารถในการลงมือทำให้สำเร็จ แต่ก็เป็นการเสียเวลาเปล่า

จะทำงานเพื่อสังคม ก็ต้องเป็นตัวแทนสังคม ไม่ใช่เป็นตัวแทนความต้องการของตัวเอง ถ้าสังคมขาดความเข้าใจในปัญหาการเซ็นเซอร์ กลุ่มคนทำงานเพื่อสังคมก็ต้องให้ความรู้ให้ความเข้าใจกับคนในสังคม แต่ถ้าผมเป็นคนที่ขาดความรู้นั้นแล้วได้มางานนี้ ผมคงโง่ต่อไปอีกว่าเซ็นเซอร์เป็นพระคุณของรัฐ แต่ถ้ากลุ่มนี้เพียงแค่เคลื่อนไหวเพื่อความต้องการของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อสังคมอะไร งานนี้ก็โอเค

หมายเหตุ: ผมวิจารณ์ 1 ชั่วโมงของงานนี้ที่ผมได้ฟัง 6 การนำเสนอ หาใช่งานทั้งหมด หากมีไอเดียฆ่ายักษ์บันเจิดๆที่ผมไม่ได้อยู่ฟังด้วย ผมก็ยังอยากจะฟังอยู่ แบ่งบันให้ฟังได้บ้างก็ขอขอบคุณครับ)

ไม่มีความคิดเห็น: